ผลกระทบของการตกตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนต (MICP) ต่อคุณสมบัติของอิฐและปูนประวัติศาสตร์ในโบราณสถาน
คำสำคัญ:
อิฐโบราณ, มอร์ตา, การตกตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนต (MICP), Lysinibacillus, SEM (Scanning Electron Microscope)บทคัดย่อ
โบราณสถานทั้งหมดล้วนตั้งอยู่ในที่โล่งแจ้งโดยไม่มีการปกป้องทำให้ต้องเผชิญกับการเสื่อมสภาพส่งผลต่อคุณสมบัติของวัสดุ และความเสถียรของโครงสร้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การพังทลายของโครงสร้างได้ในที่สุด งานวิจัยนี้ศึกษาการปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุของโบราณสถานที่ประกอบด้วยอิฐและมอร์ตาร์โดยการใช้แบคทีเรียที่มีความสามารถในการผลิตแคลเซียมคาร์บอเนตจากการย่อยสลายยูเรีย หรือที่เรียกว่าวิธีการตกตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนต (MICP) ทำให้เกิดการเชื่อมประสานในรอยแตกหรืออุดรูพรุนที่ผิวขององค์ประกอบของโครงสร้าง ที่จะทำให้วัสดุโบราณมีคุณสมบัติทางวิศวกรรมดีขึ้น วิธีปรับปรุงคุณสมบัตินี้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกรมศิลปากรที่ไม่อนุญาติให้มีแรงสั่นสะเทือนที่รอบบริเวณพื้นที่ของโบราณสถาน งานวิจัยนี้ใช้วัสดุอิฐทดแทนที่มาจากโรงงานในอยุธยาและมอร์ตาร์จากคำแนะนำของกรมศิลปากร ในส่วนของเชื้อแบคทีเรียจะใช้ Lysinibacillus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีศักยภาพสูงในการผลิตแคลเซียมตาร์บอเนตจากการย่อยสลายยูเรีย วิธีการปรับปรุงวัสดุทดแทนของโครงสร้างโบราณทั้งอิฐและมอร์ตาร์ให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นโดยการขังแบคทีเรีย Lysinibacillus ในห้องปฎิบัติการเป็นเวลา 14, 21, 28 วัน จากการวิเคราะห์โดย SEM (Scanning Electron Microscope) พบว่ารอยแตกและรูพรุนที่ผิวของวัสดุทดแทนของโครงสร้างโบราณมีการเติมเต็มผลการทดสอบคุณสมบัติทางวิศวกรรมระบุว่าค่ากำลังอัดเพิ่มขึ้นอีกด้วย
##plugins.generic.usageStats.downloads##
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
บทความทั้งหมดที่ได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอผลงานในการประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 27 นี้ เป็นลิขสิทธิ์ของ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์