การวิเคราะห์ความอ่อนไหวในการเกิดน้ำท่วมโดยใช้วิธีอัตราส่วนความถี่กรณีศึกษาลุ่มน้ำห้วยน้ำโมง
คำสำคัญ:
น้ำท่วม, อัตราส่วนความถี่, ความอ่อนไหวต่อการเกิดน้ำท่วมบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในการวิเคราะห์ความอ่อนไหวต่อการเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำโมง โดยใช้วิธีการอัตราส่วนความถี่ (Frequency Ratio : FR) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดน้ำท่วม จำนวน 7 ปัจจัย (ปริมาณน้ำฝน ความสูงภูมิประเทศ ความลาดชัน ความหนาแน่นทางน้ำ ความหนาแน่นทางถนน การระบายน้ำของดิน การใช้ที่ดิน) นำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมในอดีต ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 -2566 เพื่อหาค่าอัตราส่วนความถี่และค่าถ่วงน้ำหนักของปัจจัย โดยข้อมูลน้ำท่วมในอดีตร้อยละ 70 ใช้เป็นพื้นที่ตัวอย่างสำหรับการวิเคราะห์ และข้อมูลร้อยละ 30 ใช้เป็นพื้นที่ทดสอบ ข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมตัวอย่างจะนำมาวิเคราะห์ค่าคะแนนความสัมพันธ์กับแต่ละช่วงปัจจัย จากนั้นจึงนำไปวิเคราะห์ซ้อนทับเพื่อจัดทำเป็นแผนที่ความอ่อนไหวต่อการเกิดน้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำห้วยน้ำโมง ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ระดับอ่อนไหวมากที่สุด ระดับอ่อนไหวมาก ระดับอ่อนไหวปานกลาง ระดับอ่อนไหวน้อย ระดับอ่อนไหวน้อยที่สุด ผลการศึกษา พบว่าพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวมากที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ 240.79 ตร.กม. คิดเป็น 8.98% ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวมาก ครอบคลุมพื้นที่ 670.06 ตร.กม. คิดเป็น 25.01% ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวปานกลาง ครอบคลุมพื้นที่ 954.46 ตร.กม. คิดเป็น 35.63% ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวน้อย ครอบคลุมพื้นที่ 423.28 ตร.กม. คิดเป็น 15.80% ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวน้อยที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ 390.08 ตร.กม. คิดเป็น 14.56% ของพื้นที่ทั้งหมด แผนที่ความอ่อนไหวต่อการเกิดน้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำห้วยน้ำโมงมีความถูกต้องของการพยากรณ์เท่ากับ 84.31% และการใช้อัตราส่วนความถี่สามารถพยากรณ์พื้นที่น้ำท่วมได้ 79.29%
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Engineering Institute of Thailand

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับคัดเลือกนำเสนอในการประชุม NCCE ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) (Engineering Institute of Thailand)