การใช้ข้อมูลจากยานพาหนะที่ติดตั้งอุปกรณ์ระบุพิกัด (Probe Car) ในการประเมินความล่าช้า ของการจราจรบริเวณทางแยกสัญญาณไฟจราจร ภายใต้ระดับความอิ่มตัวของถนนที่แตกต่างกัน
คำสำคัญ:
ความล่าช้าของการจราจร, ระดับความอิ่มตัวของถนน, ยานพาหนะติดตั้งอุปกรณ์ระบุพิกัดบทคัดย่อ
ในปัจจุบันการตรวจวัดสภาพจราจรต้องพึ่งพาอุปกรณ์ตรวจวัดที่ติดตั้งบนถนน ซึ่งมีต้นทุนสูงในการติดตั้งและการบำรุงรักษา อีกทั้งไม่สามารถครอบคลุมทุกพื้นที่ได้อย่างครบถ้วน การใช้ข้อมูลจากยานพาหนะที่ติดตั้งอุปกรณ์ระบุพิกัด (Probe Cars) จึงเป็นแนวทางที่น่าสนใจเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการเก็บข้อมูล อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวอาจมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำ เนื่องจากไม่สามารถเก็บข้อมูลจากยานพาหนะทุกคันได้ การศึกษานี้มุ่งศึกษาความคลาดเคลื่อนในการใช้ยานพาหนะที่ติดตั้งอุปกรณ์ระบุพิกัดเพื่อประเมินความล่าช้า (Delay) ของการจราจร ในสถานการณ์ระดับความอิ่มตัวของถนน (Degree of Saturation: DoS) และร้อยละของยานพาหนะที่ติดตั้งอุปกรณ์ระบุพิกัดที่สัดส่วนต่างๆ โดยใช้แบบจำลองจราจรระดับจุลภาค (Microscopic Simulation Model) ผ่านโปรแกรม Aimsun เพื่อจำลองสถานการณ์ที่ทางแยกเดี่ยว (Isolated Intersection) ผลการวิเคราะห์พบว่าสัดส่วนข้อมูล Probe ที่มากขึ้นจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการประเมินความล่าช้าได้อย่างชัดเจน และยังชี้ให้เห็นว่าการเลือกสัดส่วนที่เหมาะสมของ Probe ควรพิจารณาระดับความอิ่มตัวของถนนร่วมด้วย โดยถนนที่มีระดับความอิ่มตัวต่ำหรือสภาพจราจรเบาบางจำเป็นต้องใช้ Probe ในสัดส่วนที่มากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำ สำหรับถนนที่สภาพจราจรมีความเบาบางมาก (DoS=0.10) ความต้องการ Probe ที่เหมาะสมอาจสูงถึงร้อยละ 50 และถนนที่มีระดับความอิ่มตัวสูงหรือมีสภาพจราจรหนาแน่นจะต้องการสัดส่วนของ Probe ที่ต่ำกว่าและยังคงให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ เมื่อสภาพจราจรมีความหนาแน่นสูง (DoS=0.90) จะต้องการสัดส่วนของ Probe เพียงร้อยละ 10 ก็สามารถทำให้ความคลาดเคลื่อนของความล่าช้าต่ำกว่าร้อยละ 10 ได้ การศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ข้อมูล Probe เพื่อช่วยลดความจำเป็นในการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดจราจรเพิ่มเติม และเป็นแนวทางในการนำข้อมูล Probe ไปปรับใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการประเมินสภาพจราจร
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Engineering Institute of Thailand

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับคัดเลือกนำเสนอในการประชุม NCCE ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) (Engineering Institute of Thailand)