การสำรวจและประเมินสภาพอาคารเก่า: กรณีศึกษาอาคารหอประชุม 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
คำสำคัญ:
การสำรวจและประเมิน, อาคารเก่า, การตรวจสอบ, การตรวจพินิจ, การประมาณราคาบทคัดย่อ
อาคารหอประชุม 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เป็นอาคารเก่าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดลพบุรี อาคารหลังดังกล่าวได้เริ่มก่อสร้างในช่วงก่อตั้งมหาวิทยาลัย ผ่านระยะเวลาการใช้งานกว่า 70 ปี สภาพอาคารทั้งภายนอกและภายในเกิดความเสื่อมสภาพผ่านกาลเวลา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและประเมินสภาพของอาคารหอประชุม 1 ซึ่งเป็นอาคารเก่าที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ทางด้านสถาปัตยกรรมที่เป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคาร โดยคณะผู้วิจัยได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูล จากการสำรวจและประเมินสภาพอาคารดังกล่าว โดยดำเนินการแบ่งกลุ่มเชิงเปรียบเทียบระดับความรุนแรง เร่งด่วนของความเสื่อมสภาพในแต่ละองค์ประกอบของอาคาร จำแนกเป็นแต่ละระดับ แทนด้วย 3 สี ประกอบด้วย (1) ระดับสีแดง มีสภาพอันตราย จำเป็นต้องเร่งปรับปรุงแก้ไข (2) ระดับสีเหลือง มีสภาพไม่อันตราย ไม่จำเป็นเร่งด่วน แต่ควรปรับปรุงแก้ไข (3) ระดับสีเขียว มีสภาพไม่อันตราย สามารถใช้งานได้ ซึ่งทั้งหมดนำมาสู่การวิเคราะห์เปรียบเทียบต้นทุนค่าใช้จ่ายของความเสื่อมสภาพในแต่ละองค์ประกอบของอาคารหลังดังกล่าว จากการศึกษาพบว่า ความเสื่อมสภาพที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายมากที่สุด อยู่ในกลุ่มระดับสีแดง ประกอบด้วย งานหลังคา โดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 30.70 ของต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมในการปรับปรุงอาคาร โดยความเสื่อมสภาพของส่วนหลังคาอาคาร เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหาการรั่วซึมของน้ำฝน รองลงมา คือ งานฝ้าเพดาน ซึ่งมีค่าต้นทุนค่าใช้จ่าย คิดเป็นร้อยละ 21.18 ของต้นทุนค่าใช้จ่ายรวม ซึ่งได้รับผลกระทบที่ต่อเนื่องมาจากส่วนหลังคาเช่นกัน จากผลการศึกษาในรายละเอียด ทำให้ผู้มีส่วนรับผิดชอบสามารถจัดทำงบประมาณ ในส่วนต้นทุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตามความจำเป็นเร่งด่วนของหน่วยงาน
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Engineering Institute of Thailand

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับคัดเลือกนำเสนอในการประชุม NCCE ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) (Engineering Institute of Thailand)