การก่อสร้างสะพานโดยใช้เหล็กต้านทานการกัดกร่อนในบรรยากาศ
คำสำคัญ:
สะพานเหล็ก, เหล็กต้านทานการกัดกร่อนในบรรยากาศ, มอก. 2982-2562บทคัดย่อ
กรมทางหลวงชนบทดำเนินการก่อสร้างสะพานบนถนนสาย รย.4060 จำนวน 2 แห่ง ความยาวสะพาน 630 และ 420 เมตร ในจังหวัดระยองและจันทบุรี ตามลำดับ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรณีอุบัติเหตุรถยนต์ชนช้าง บนถนนที่อยู่ระหว่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน และอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง
โครงสร้างส่วนบนเลือกใช้เป็นคานเหล็กประกอบ หน้าตัดรูปตัวไอ ความยาว 30 เมตร เนื่องจากมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถลดขนาดโครงสร้างส่วนล่างซึ่งเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก และลดจำนวนเสาเข็มลงได้ ทำให้ใช้เขตทางน้อยลง นอกจากนั้นการเลือกใช้คานเหล็กซึ่งผลิตในโรงงานยังสามารถเร่งรัดงานก่อสร้างให้เสร็จได้โดยเร็ว บรรเทาผลกระทบที่มีต่อประชาชนและลดการรบกวนสัตว์ป่าที่อาศัยใกล้เคียงพื้นที่ก่อสร้างลงได้ แต่การใช้เหล็กก็มีข้อเสีย คือ เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดสนิมที่ผิวเหล็กและ ทำให้เนื้อเหล็กถูกกัดกร่อน จำเป็นต้องตรวจสอบและบำรุงรักษาสะพานเป็นประจำ ดังนั้น เพื่อลดภาระและค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาในอนาคต เนื่องจากสะพานตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล กรมทางหลวงชนบทจึงได้เลือกใช้เหล็กต้านทานการกัดกร่อนในบรรยากาศ (Atmospheric Corrosion Resisting Steel หรือ Weathering Steel) ตาม มอก.2982-2562 ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการใช้เหล็ก และค่อนข้างใหม่สำหรับการก่อสร้าง ในประเทศไทย โดยวัสดุดังกล่าวมีชั้นคุณภาพเทียบเท่ากับเหล็กปกติ แต่ต้านทานการกัดกร่อนได้ดี จึงทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
บทความนี้นำเสนอประสบการณ์การใช้เหล็กต้านทานการกัดกร่อน ตลอดจนการวิเคราะห์ความคุ้มค่าโดยอ้างอิงข้อมูลจากการทำงานจริง พบว่าเหล็กต้านทานการกัดกร่อนมีราคาค่าวัสดุที่สูงกว่าเหล็กปกติประมาณร้อยละ 18 แต่สามารถลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการป้องกันสนิมลงได้ รวมทั้งในระยะยาวสามารถลดภาระการบำรุงรักษาลงได้ จึงกล่าวได้ว่าการใช้เหล็กต้านทานการกัดกร่อนมีความคุ้นค่าในการนำมาใช้ก่อสร้างสะพานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลที่บำรุงรักษาได้ยาก
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Engineering Institute of Thailand

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับคัดเลือกนำเสนอในการประชุม NCCE ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) (Engineering Institute of Thailand)